Grasim รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2014-15

29 ตุลาคม, 2557

คลิกที่นี่เพื่อดูผลลัพธ์ที่ได้

คลิกที่นี่เพื่อดูการนำเสนอของกิจการ

การลงทุนสำหรับผลประกอบการที่ให้ผลเติบโต - การเติบโตเชิงปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นทั่วทุกภาคธุรกิจ

หน่วยเป็นสิบล้านรูปี
รายได้สุทธิรวม 7,945 (สูงขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์)
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและภาษี (PBIDT) 1,277 (สูงขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์)


Grasim Industries จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบริษัท Aditya Birla Group วันนี้ เผยผลประกอบการสำหรับไตรมาสสองของปีงบประมาณ 2014-15

ผลประกอบการด้านการเงินในส่วนของรวมกิจการ
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อราคาและค่าตัดจำหน่ายสำหรับไตรมาสนี้สูงขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 1,277 สิบล้านรูปี (1,143 สิบล้านรูปี) ในขณะที่รายได้โตขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 7,945 สิบล้านรูปี (6,850 สิบล้านรูปี) ขับเคลื่อนโดยการเติบโตเชิงปริมาณที่สูงขึ้นทั่วทุกภาคธุรกิจ โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนการผลิตใหม่/ที่ควบซื้อแล้ว ดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาสูงขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเดินหน้าการผลิตในธุรกิจซีเมนต์และเส้นใยเรยอน ตามด้วยการควบรวมกิจการที่มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์อยู่ที่ 4.8 ล้านตันต่อปีในรัฐกุจราชในไตรมาสที่ 1 ปัจจุบัน กำไรก่อนหักภาษีสูงขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 700 สิบล้านรูปี (666 สิบล้านรูปี)

รายจ่ายด้านภาษีสูงขึ้นสำหรับไตรมาสปัจจุบัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการเก็บข้อมูลด้านการเตรียมภาษีและการดำเนินการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดภาระในด้านภาษี ดังนั้น จึงเป็นผลให้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 416 สิบล้านรูปี (450 ล้านรูปี)

เส้นใยสังเคราะห์เรยอน (VSF)
ธุรกิจเส้นใยสังเคราะห์เรยอน (VSF) ทำยอดขายได้ 100,927 ตัน สูงขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เป็นผลมาจาก การดำเนินการผลิตในไลน์การผลิต 2 ไลน์ซึ่งได้แก่ในวิลายาทและส่วนการผลิตกุจราช กิจการการพัฒนาการตลาดโดยรวมทำให้เกิดการขยาตัวของตลาดในตลาดภายในประเทศ รายได้สุทธิสำหรับไตรมาสนี้สูงขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 1,271 สิบล้านรูปี กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 151 สิบล้านรูปี ลดลง 37 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในขณะที่การจัดเก็บรายได้ได้รับผลกระทบจากราคาในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่สูงเกินไปในจีน ส่วนแบ่งของมูลค่าที่สูงขึ้นช่วยให้สินค้าได้รับผลกระทบน้อยในแง่ของราคาที่ลดลง ปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นและกำไรเต็มของราคาเยื่อกระดาษที่ต่ำลงช่วยปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

รายจ่ายฝ่ายทุนในการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยอน
ในส่วนการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยอนใหม่จากโรงงานวิลายาท ไลน์การผลิตที่ 1 และ 2 ทำให้เกิดกำลังการผลิตอยู่ที่ 77 กิโลตันต่อปีซึ่งได้เริ่มการผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2014 ส่วนการผลิตช่วงทดลองเริ่มที่สองไลน์การผลิตที่เหลือ (43 กิโลตันต่อปี) เพื่อผลิตไฟเบอร์พิเศษ หลังการขยายการผลิตนี้ กำลังการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยอนรวมจะสูงขึ้น 498 กิโลตันต่อไป

 


ธุรกิจเคมีภัณฑ์
ปริมาณการผลิตในธุรกิจเคมีภัณฑ์สูงขึ้น 28 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนการผลิตในวิลายาท กำไรจากการผลิตลดลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนไฟฟ้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 79 สิบล้านรูปีสูงขึ้น 28 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เป็นผลมาจากความเข้มแข็งในการเติบโตของปริมาณการผลิต

สาขาส่วนการผลิตซีเมนต์ (UltraTech Cement)
ยอดขายปูนซีเมนต์อยู่ที่ 10.92 ล้านตันสูงขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการที่สูงขึ้นและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยการผลิตปูนซีเมนต์ในกุจราช ที่ควบรวมจากส่วนการผลิตซีเมนต์เจปีในไตรมาส 1 ต้นทุนการผลิตได้รับผลกระทบจากการสูงขึ้นของราคาโค้กปิโตรเลียม และวัตถุดิบ ประกอบกับค่าคนส่งที่สูงขึ้นและค่ารอยัลตี้ของกินปูนที่สูงขึ้น รายได้สุทธิสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5,772 สิบล้านรูปี เมื่อเทียบกับ 4,871 สิบล้านรูปี เมื่อเที่ยบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตในปริมาณการผลิต กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 987 สิบล้านรูปี เมื่อเทียบกับ 773 สิบล้านรูปี เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา และกำไรหลังหักดอกเบี้ยสูงขึ้นมาอยู่ที่ 414 สิบล้านรูปี (280 สิบล้านรูปี)

รายจ่ายฝ่ายทุนในส่วนการผลิตซีเมนต์
กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทสูงขึ้น 63.2 ล้านตัวต่อไป พร้อมการดำเนินการผลิตโรงโม่ 1.4 ล้านตันต่อปีที่มัลเค็ด รัฐคาร์นาตากา การขยายกำลังการผลิตในส่วนของโรงงานเดิมกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงและเป็นไปอย่างเรียบร้อย เมื่อการปรับปรุงเสร็จสิ้น กำลังการผลิตของส่วนนี้จะอยู่ที่ 70 ล้านตันต่อปี โรงงานผลิตพลังงานความร้อน 25 ล้านวัตต์ได้ดำเนินการผลิตในทาดิปาตรี รัฐ อันธระประเทศ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ผลิตเพื่อใช้เองโดยรวมอยู่ที่ 733 ล้านวัตต์

ภาพการณ์ในอนาคต
ในภาคการผลิตเส้นใยเรยอน กำไรยังคงได้รับความกดดันในระยะสั้นเนื่องจากกำลังการผลิตที่มากเกินไปในจีน ราคาโพลีเอสเตอร์และฝ้ายลดลงอย่างมาก เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ และอาจส่งผลกระทบการเติบโตการบริโภคของเส้นใยสังเคราะห์เรยอน การลดลงของการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในจีนน่าจะช่วยให้ปรับตัวดีขึ้นในการบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดผลดีในบริษัท การเน้นการเสริมกำลังในแง่ของต้นทุนการผลิตจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ในส่วนของการผลิตปูนซีเมนต์ ความต้องการในตลาดมีทีท่าว่าจะโตขึ้นราว 8 เปอร์เซ็นต์ในปีงบประมาณปัจจุบัน และน่าจะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ ตัวขับเคลื่อนหลักจะช่วยปรับการเน้นของภาครัฐฯ ที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน

ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในส่วนการผลิตทั้งสองแห่ง บริษัทจะขึ้นแท่นผู้นำในอุตสาหกรรม และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างที่คาดหวัง

หมายเหตุ
บทความนี้เป็น "ข่าวประชาสัมพันธ์" อธิบายถึงวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ การคาดคะเน ความคาดหวังหรือการทำนายของบริษัท ซึ่งอาจเป็น "ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ในอนาคต" ภายใต้นิยามความหมายในข้อกำหนดและกฏหมายตลาดหลักทรัพย์ ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากบรรดาด่วนหรือโดยนัย ปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความแตกต่างให้กับการดำเนินงานของบริษัทได้แก่ สภาพอุปสงค์และอุปทานในอินเดียและตลาดโลก ราคาสินค้า ความคล่องตัวของสินค้าในการจัดเก็บสินค้าและราคา วงจรความต้องการของตลาดและราคาในตลาดหลักของบริษัท การเปลี่ยนแปลงกฏหมายของรัฐ การจัดเก็บภาษี การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในอินเดียและประเทศต่างๆ ภายในประเทษที่เราทำธุรกิจด้วยและปัจจัยอื่นๆ เช่น กฏหมายและข้อตกลงด้านแรงงาน บริษัท เป็นผู้รับผิดชอบที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลใด ๆ ที่ตามมาการพัฒนาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม