Grasim รายงานผลทางการเงินสำหรับไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2014-15

02 สิงหาคม, 2557

คลิกที่นี่เพื่อดูผล

คลิกที่นี่เพื่อดูงานนำเสนอ



รายได้สุทธิ: 8,044 ล้านรูปี, กำไรหลังหักภาษี: 487 สิบล้านรูปี
การเติบโตของปริมาณการผลิตในทุกธุรกิจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการสร้างกำลังการผลิต

ผลการปฏิบัติงานด้านการเงินในรวมกิจการ

บริษัท Grasim Industries จำกัดซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทของกลุ่มบริษัท Aditya Birla ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสแรก (Q1) ของปีงบ 2014-15

ธุรกิจทุกส่วนของบริษัทมีการเติบโตในแง่ของปริมาณการผลิตที่ดีขึ้นมาก เป็นผลให้รายได้เติบโตสูงขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์จาก 6,938 สิบล้านรูปี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันที่ 8,044 สิบล้านรูปีในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขึ้นต่ำยังอยู่ภายใต้ความกดดันในสภาพแวดล้อมด้านราคาทั้ง ธุรกิจเส้นใยสังเคราะห์ และ ปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ ทำให้ธุรกิจในส่วนต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและภาษี (PBIDT) อยู่ที่ 1,488 สิบล้านรูปี (1,549 สิบล้านรูปี)

ดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาสูงขึ้นเนื่องจากการผลิตจากหลาย ๆ โครงกการ ทั้งนี้ ประโยชน์เต็มที่จะเห็นได้อย่างต่อเนื่อง ค่าธรรมเนียมภาษียังสูงขึ้นตามมาอีกด้วย เนื่องจากรายได้จากการยกเว้นภาษีที่ต่ำลงและการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกฏหมายภาษีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ประโยชน์จากการดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับพลังงาน

ทั้งนี้เป็นผลให้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 487 สิบล้านรูปี (610 สิบล้านรูปี)

เส้นใยสังเคราะห์ (VSF)
ปริมาณการผลิตเส้นใยสังเคราะห์อยู่ที่ 86,389 ตัน ซึ่งสูงขึ้นร้อยละ 11 จากสถานการณ์ทั่วโลกแล้ว การจัดเก้บรายได้ยังคงลดลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่มากเกินในจีน การจัดเก็บรายได้สำหรับบริษัทยังคงทรงตัว ทั้งนี้เป็นผลมาจากการอ่อนเงินของเงินสกุลรูปี ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทำให้กำไรในธุรกิจลดลง

ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของธุรกิจเส้นใยสังเคราะห์
ในโรงผลิตเส้นใยสังเคราะห์แห่งใหม่ในเมืองวิลายาท ไลน์ 1 และไลน์ 2 ช่วยเสริมกำลังการผลิตเต็มอยู่ที่ 77 กิโลตันต่อปี ส่วนการผลิตในทั้งสองไลน์ (44 กิโลตัน) เพื่อผลิตเส้นใยพิเศษนั้นยังคงเดินหน้าเต็มกำลัง การทดลองสายการผลิตที่ 3 มีกำหนดการเริ่มในเดือนนี้ และสำหรับไลน์ที่ 4 ภายในอีกสองเดือนข้างหน้า หลังการขยายส่วนการผลิตนี้ กำลังการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยอนของ Grasim ทั้งหมดจะอยู่ที่ 498 กิโลตันต่อปี

ธุรกิจเคมีภัณฑ์
ปริมาณการผลิตเคมีภัณฑ์สูงขึ้นร้อยละ 33 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนการผลิตในวิลายาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและภาษี (PBIDT) สูงขึ้นร้อยละ 81 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของปริมาณการผลิตที่เข้มแข็งและการจัดเก็บรายได้ในตลาดยุโรป (ECU) ที่สูงขึ้น โรงงาน epoxy ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการผลิตเมื่อปีที่ผ่านมาสามารถทำจุดคุ้มทุนได้ ในช่วงไตรมาสนี้ ทั้งนี้ กำลังการผลิตจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า

สาขาปูนซิเมนต์ (UltraTech Cement)
ยอดขายปูนซีเมนต์และปูนเม็ดสูงขึ้นร้อยละ 14 ทั้งนี้ดีกว่าหน่วยธุรกิจอื่น ๆ มาก ถึงแม้จะยังมีเรื่องของความกดดันในเรื่องของราคา ค่าใช้จ่ายตัวแปรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาของปิโตรเลียมโค้กที่สูงขึ้นและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น รายได้สุทธิอยู่ที่ 6,032 สิบล้านรูปี เมื่อเทียบกับ 5,296 สิบล้านรูปีในไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและภาษี (PBIDT) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 มาอยู่ที่ 1,296 สิบล้านรูปี และกำไรหลังหักภาษี (PAT) อยู่ที่ 627 สิบล้านรูปี (666 สิบล้านรูปี)

ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในธุรกิจปูนซีเมนต์
การคงบรวมกิจการในส่วนการผลิตในรัฐกุจราช (กำลังการผลิต 4.8 ล้านตันต่อปี) ของบริษัท Jaypee Cement Corporation จำกัดเสร็จสมบูรณ์ในช่วงไตรมาสดังกล่าว หลังการควบรวมกิจการแล้ว กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในส่วนของรวมกิจการของบริษัทอยู่ที่ 61.8 ล้านตันต่อปี

ในช่วงไตรมาสนี้ บริษัทได้เริ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนอยู่ที่ 25 เมกกะวัตต์ในมัลเค็ด รัฐคาร์นาตากา และ 6.5 เมกกะวัตต์ในระบบฟื้นความร้อนเสีย (WHRS) ในอาวาร์ปูร์ รัฐมหาราชตรา ด้วยกำลังการผลิตเหล่านี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าโดยรวมของ UltraTech (รวมทั้ง WHRS) อยู่ที่ 709 เมกกะวัตต์

ภาพการณ์ในอนาคต
ในภาคการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยอน กำไรยังคงตึงตัวในระยะสั้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่มากเกินไปในจีน การถดถอยในส่วนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในจีนน่าจะช่วยให้การนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและก้าวหน้าต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทอย่างยิ่ง การมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพของต้นทุนการผลิตจะยังคงลดลง

ในส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ เนื่องจากมีรัฐบาลใหม่ จะมีการเน้นส่วนของโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ตามที่ได้ประกาศไว้ในเรื่องของงบประมาณล่าสุด ความต้องการของอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 7-8 พร้อมด้วยการเติบโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในช่วงครึ่งปีหลังของปีปัจจุบัน

ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจทั้งสองด้าน บริษัทจะยังคงเป็นผู้นำธุรกิจต่อไป และจะยังคงเก็บเกี่ยวกำไรจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง

หมายเหตุ
ข้อความใน "ข่าวประชาสัมพันธ์" นี้อธิบายถึงวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ การประมาณการณ์ ความคาดหวังหรือคาดคะเนของบริษัท ซึ่งอาจจะ "ข้อความที่กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า" ภายใต้นิยามของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ผลประกอบการที่แท้จริงอาจแตกต่างจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความแตกต่างในการดำเนินงานของบริษัทได้แก่ เงื่อนไขต่างๆ ทั่วโลกและอินเดีย อุปสงค์ อุปทาน ราคาสินค้าสำเร็จรูป พร้อมวัตถุดิบและราคา ที่ต้องการวงจร และการกำหนดราคาในตลาดหลักของบริษัท ฯ การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบของรัฐบาล ระบอบภาษีการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอินเดีย และประเทศที่อยู่ในที่บริษัทดำเนินธุรกิจและปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเจรจาต่อรอง การดำเนินคดีและแรงงาน บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อสาธารณะที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขใด ๆ ที่เป็นการคาดการณ์ ที่เป็นผลมาจากข้อมูลที่มีเข้ามาใหม่แต่อย่างใด