Grasim Industries ประกาศผลประกอบการทางการเงินที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบสำหรับไตรมาสและช่วงครึ่งปี สิ้นสุด 30 กันยายน 2019

14 พฤศจิกายน, 2562

ผลประกอบการทางการเงินแบบรวมกิจการ

(หน่วยเป็นสิบล้านรูปี)
  ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2020 ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2019 เปรียบเทียบรายปี
รายได้สุทธิ 18,430 17,892 3%
EBITDA 3,180 2,972 7%
กำไรหลังภาษี (PAT) 1,002 (1,468)  

รายได้แบบรวมกิจการสำหรัยไตรมาสอยู่ที่ 184,300 ล้านรูปี โดยบันทึกการเติบโตที่ 3% EBITDA แบบรวมกิจการอยู่ที่ 31,800 ล้านรูปี โดยบันทึกการเติบโตที่ 7% จากปีก่อน ส่วน PAT (ก่อนหักรายการพิเศษและภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี) สูงขึ้น 6% จากปีก่อนเป็น 6,390 ล้านรูปี ซึ่งนำโดยผลการดำเนินงานที่ดีเยี่ยมของบริษัทในเครือ UltraTech Cement Limited และ Aditya Birla Capital Limited

ที่ระดับกิจการเดียว ความสามารถในการทำกำไรได้รับผลกระทบอันเนื่องจากราคา VSF และโซดาไฟอ่อนตัวลงทั่วโลก

ธุรกิจเส้นใยสังเคราะห์

การผลิตของธุรกิจ VSF และยอดขายมีบันทึกเพิ่มขึ้นที่ 8% และ 5% จากปีก่อนเป็น 148KT และ 142KT ตามลำดับ

รายได้สุทธิสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 24,310 ล้านรูปี ส่วน EBITDA ของไตรมาสอยู่ที่ 3,810 ล้านรูปี ราคา VSF ทั่วโลกยังคงปรับตัวลดลง เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศจีนและอินโดนีเซีย (หนึ่งปีที่ผ่านมา) และผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ราคา VSF ของอินเดียประสบแนวโน้มที่อ่อนตัวลงอันมีสาเหตุหลักมาจากการดิ่งลงถึง 23% ของการปรับราคา VSF ในจีน

ความอ่อนแอของความสามารถในการทำกำไร VSF ภายในประเทศส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของไตรมาสนี้ ประโยชน์จากราคาต้นทุนจากวัตถุป้อนเข้าที่ลดลง เช่น เนื้อไม้ จะสะท้อนให้เห็นในไตรมาสถัดไปเนื่องจากมีความล่าช้าของเวลาในคลังสินค้า

แบรนด์ Liva สำหรับผลิตภัณฑ์ VSF ของเรายังคงความเติบโตโดยมีการพุ่งเป้าไปที่ตลาดภายในประเทศ ขณะนี้ Liva ร่วมธุรกิจกับแบรนด์ค้าปลีก 40 แบรนด์ โดยมีจำหน่ายอยู่ในเอาท์เล็ต 3,500 แห่งที่อยู่ในรูปแบบเอาท์เล็ตจำเพาะของแบรนด์และร้านค้าขนาดใหญ่ ที่นอกเหนือไปจาก MBO หลายแห่งมากมายใน 250 เมืองทั่วประเทศอินเดีย

ความยั่งยืนเป็นขอบข่ายหลักที่บริษัทมุ่งให้ความสำคัญ ธุรกิจพร้อมกับผู้ร่วมทุนรอบโลกจัดเป็นรายแรกของอุตสาหกรรมที่ไม่สร้างมลพิษให้กับโลก (Carbon Positive) สำหรับการบริหารจัดการการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) และทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2)

การขยายกำลังการผลิตที่โรงงานแห่งเดิมที่ Vilayat เป็น 219 KTPA มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินงานได้ในปีงบประมาณ 2021

ธุรกิจเคมีภัณฑ์

รายได้สุทธิสำหรับปีไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2020 อยู่ที่ 13,470 ล้านรูปี ส่วน EBITDA อยู่ที่ 2,730 ล้านรูปี ราคาที่อ่อนลงทั่วโลกของโซดาไฟนำมาซึ่งราคาภายในประเทศตกลง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

ยอดขายโซดาไฟและปริมาณการผลิตสำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2020 อยู่ที่ 249KT และ 241KT ตามลำดับ ภาวะความต้องการที่อ่อนตัวจากผู้ใช้งานเชิงอุตสาหกรรมสำหรับคลอรีนและโซดาไฟ ความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้นในตลาดภายในประเทศ และการเพิ่มขึ้นของการนำเข้า ล้วนส่งผลต่อการผลิตของบริษัท

เคมีภัณฑ์พิเศษเฉพาะ (ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากคลอรีน) มีการดำเนินงานและผลประกอบการทางการเงินที่มั่นคง ส่วนแบ่ง EBITDA จากเคมีภัณฑ์พิเศษเฉพาะซึ่งรวมถึงอีพ็อกซีเรซินอยู่ที่ประมาณ 29% ในส่วนธุรกิจเคมีภัณฑ์

แผนการขยายกำลังการผลิตโซดาไฟที่ Rehla, Vilayat และ Balabhadrapuram อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกัน โดยมีการขยายกำลังในส่วนผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์พิเศษเฉพาะด้วย

ผู้ร่วมทุนธุรกิจฉนวน

บริษัทได้เข้าร่วมทุนกับ Maschinenfabrik Reinhausen GmbH (“MR”) จากเยอรมนีเพื่อทำการผลิตและจำหน่ายลูกถ้วยเนื้อสารสังเคราะห์ Composite Hollow Core Insulators (CHCI) ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการส่งกำลังและแจกจ่ายกระแสไฟฟ้าทั่วโลก Aditya Birla Power Composites Limited ("ABPCL") เป็นบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ โดยจะก่อตั้งโรงงานผลิตสมัยใหม่ CHCI ที่เมือง Halol (รัฐคุชราต) ซึ่งจะนำเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับลูกถ้วยเนื้อสารสังเคราะห์จากยุโรปมาใช้

ฉนวนลูกถ้วยเนื้อสารสังเคราะห์ (Composite Hollow Core) เป็นส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดของฉนวน และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่ดีขึ้นตลอดจนความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้า และโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่มากแห่งแรกในหมวดผลิตภัณฑ์นี้ในอินเดีย และจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่สุดที่ไม่อยู่ในอาณาเขตประเทศจีน

แผนรายจ่ายฝ่ายทุน CAPEX

แผนรายจ่ายฝ่ายทุนอยู่ที่ประมาณ 78,000 ล้านรูปี (ระดับกิจการเดียว) ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อการขยายกำลังการผลิตทั้งในส่วนของ VSF และธุรกิจเคมีภัณฑ์ ที่นอกเหนือไปจากรายจ่ายในการปรับปรุงความทันสมัยให้กับโรงงานหลายแห่ง โดยค่าใช้จ่ายในการลงทุนนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสามปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2020 ถึง 2022

เครือซีเมนต์ – UltraTech

UltraTech รายงานรายได้จากยอดขายสำหรับกิจการโดยรวมที่ 96,200 ล้านรูปี ซึ่งสูงขึ้น 4% จากปีก่อน ส่วน EBITDA อยู่ที่ 20,720 ล้านรูปีในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2020 ซึ่งสูงขึ้นที่ 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณการขายแบบรวมอยู่ที่ประมาณ 18.69 MTPA

UltraTech เข้าซื้อกิจการ Century Textiles and Industries Ltd. สำหรับธุรกิจซีเมนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลักการในการแยกกิจการมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2019 และจากการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ ปริมาณการผลิตซีเมนต์ของ UltraTech จะอยู่ที่ 117.4 MTPA ซึ่งรวมกำลังการผลิตในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ UltraTech กลายเป็นบริษัทซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกที่อยู่นอกอาณาเขตประเทศจีน อีกยังเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีกำลังการผลิตเกินกว่า 100 ล้านตันภายในประเทศเดียว ที่อยู่นอกอาณาเขตประเทศจีน

เครือธุรกิจบริการทางการเงิน – Aditya Birla Capital Limited (ABCL)

รายได้และกำไรสุทธิหลังส่วนของดอกเบี้ยส่วนน้อยสำหรับไตรมาสที่ 2ปีงบประมาณ 2020 (ตามรายงานของ ABCL) อยู่ที่ 39,760 ล้านรูปี และ 2,560 ล้านรูปี ซึ่งสูงขึ้นที่ 11% และ 37% ตามลำดับ

บัญชีเงินกู้โดยรวม (NBFC และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) เติบโตขึ้นที่ 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็น 604,770 ล้านรูปี (ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2020)

สินทรัพย์ภายใต้การจัดการโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,693,930 ล้านรูปี (ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2020)

สำหรับธุรกิจประกันชีวิต เบี้ยประกันรับปีแรกส่วนบุคคลสูงขึ้นที่ 12% เป็น 4,230 ล้านรูปีในไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2020 อัตราความยั่งยืนของกรมธรรม์ (Persistency Ratio) ยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราความยั่งยืนเดือนที่ 13 ปรับดีขึ้นที่ 610 bps เป็น 80.2 % ในไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2020

สำหรับส่วนธุรกิจประกันสุขภาพ เบี้ยประกันสุทธิที่บันทึกเพิ่มขึ้นเป็น 3,150 ล้านรูปี (ไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2020) ซึ่งสูงขึ้น 78% จากปีก่อน

ในระหว่างไตรมาส Aditya Birla Capital ตัดสินใจระดมทุนมูลค่า 21,000 ล้านรูปีผ่านการจัดสรรหุ้นโดยเฉพาะให้กับนักลงทุนรายใหญ่ และผู้ก่อตั้ง / กลุ่มผู้ก่อตั้ง โดยทุนเรือนหุ้นนี้มีมูลค่า 100 รูปีต่อหุ้น และมีส่วนต่างเกินราคาซื้อขาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจ

ในการดำเนินการข้างต้น ในเดือนตุลาคม 2019 บริษัทได้ทำการลงทุนมูลค่า 7,700 ล้านรูปีในการจัดสรรหุ้นโดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การถือหุ้น Aditya Birla Capital เพิ่มขึ้นเป็น 56.61% หลังการเข้าร่วมจาก Advent (Jomei Investment) การถือครองหุ้นของบริษัทจะลดลงเหลือ 54.29% โดยกิจการในเครือของ Advent จะถือหุ้นของ ABCL ที่ประมาณ 4.15% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติตามกฎเกณฑ์

แนวโน้ม

ธุรกิจ VSF จะยังคงมุ่งเน้นการขยายตลาดในอินเดียโดยร่วมมือกับภาคธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งจะสามารถเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านทางแบรนด์ LIVA และการขยายเข้าสู่หมวดผลิตภัณฑ์ใหม่ VSF จะยังคงเป็นเส้นใยผ้าที่เติบโตรวดเร็วที่สุดทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่ ๆ ในเอเซียที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้คาดว่าจะทำให้อุปสงค์และอุปทานขาดความสมดุลและสร้างความกดดันในด้านราคา

ธุรกิจเคมีภัณฑ์อยู่ระหว่างการขยายกิจการทั้งในส่วนคลอร์-อัลคาไลและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจำเพาะ โครงการเพื่อการขยายที่อยู่ระหว่างดำเนินการที่โรงงานหลายแห่งและสายผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับเคมีภัณฑ์พิเศษเฉพาะ จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคตอันใกล้นี้

ด้วยพื้นฐานความต้องการที่ดีที่เห็นได้ในตอนเหนือของอินเดียในไตรมาสที่ 2 ที่พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคเหนือนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะฝนตกหนักและน้ำท่วม จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างบรรทัดฐานความต้องการซีเมนต์ต่อไป คำมั่นจากภาครัฐสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและในด้านการใช้จ่ายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการเติบโตของความต้องการด้านซีเมนต์ ฝนที่ตกหนักในประเทศยังประโยชน์ให้กับผลผลิตข้าวในอินเดียที่ปลูกในฤดูมรสุม (Kharif Crop) ซึ่งจะสามารถช่วยฟื้นฟูความต้องการในชนบทได้อีกด้วย ด้วยการลงหลักปักฐานทั่วประเทศของบริษัท บริษัทจึงอยู่ในสถานะที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของความต้องการซีเมนต์ ถึงแม้จะมีความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นจากโครงสร้างความต้องการในบางส่วนของประเทศ อันเนื่องมาจากเหตุผลภายนอกประเทศก็ตาม

สำหรับภาคธุรกิจบริการด้านการเงิน ABCL เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ทางการเงินได้อย่างครบวงจร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางการเงินของลูกค้าตลอดช่วงชีวิต ABCL ยืนหยัดที่จะให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการบริการด้านการเงินตั้งแต่ต้นจรดปลายให้กับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร ภายใต้แบรนด์ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว Aditya Birla Capital

Grasim ก่อให้เกิดรายจ่าย CAPEX เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในสายธุรกิจสำคัญต่าง ๆ และอยู่ในสถานะที่ดีที่มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป